วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

คาปูชิโน กับเงินเฟ้อ



ถ้าคุณสั่งคาปูชิโนมานั่งดื่มที่ร้านกาแฟ จู่ๆมีคนเอาหลอดมาปักแล้วดูดคาปูของคุณไปครึ่งแก้ว แล้วสั่งบาริสต้าให้เติมน้ำในแก้วของคุณจนเต็มเหมือนเดิม คุณยังรู้สึกว่าคุณมีกาแฟเต็มแก้วเหมือนเดิมหรือเปล่า ?


ถ้าคุณถือหุ้นสามร้อยหุ้น คิดเป็นสามสิบเปอร์เซนต์ของหุ้นทั้งบริษัท จู่บริษัทก็เพิ่มทุนเท่าตัวให้คนอื่นเข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุนโดยคิดค่าหุ้นแบบแทบจะให้เปล่า คุณยังถือหุ้นสามร้อยหุ้นเท่าเดิม คุณยังรู้สึกถึงสิทธิของความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทเท่าเดิมหรือเปล่า ?

กรณีแรกเห็นได้ชัดเจนว่า ขณะนี้คุณมีของเหลวเต็มแก้ว แต่มันไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเป็นคาปูชิโนเข้มข้น ก็แทบจะกลายเป็นน้ำล้างแก้วหนึ่งแก้ว เพราะมันถูกเจือจางรสชาติของคาปูชิโนไปด้วยน้ำเปล่า

ในกรณีที่สองก็เช่นกัน แม้ว่าคุณจะถือหุ้นสามร้อยหุ้นในบริษัทเดิมของคุณ แต่สิทธิของคุณที่จะได้รับเงินปันผลสามสิบเปอร์เซนต์ ก็ถูกลดลงจากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ทำให้คุณจะได้รับเงินปันผลลดลงเหลือเพียงสิบห้าเปอร์เซนต์เท่านั้น

นี่คือผลจากการถูกเจือจางลง Dilute effect โดยอะไรบางอย่างที่ไม่มีค่าทัดเทียมกันในกรณีเช่นนั้น ถ้าเปรียบกับคณิตศาสตร์ ก็คือการเพิ่ม”ส่วน”ที่เป็นตัวหาร โดยไม่เพิ่ม”เศษ” ที่เป็นตัวตั้งด้วย มีแต่จะทำใ้ห้ค่าที่ได้ ลดลง

ในสังคมใดสังคมหนึ่งเช่นสังคมระดับประเทศ การที่คุณมีเงินจำนวนหนึ่ง ก็คล้ายๆกับการที่คุณถือหุ้นของประเทศ โดยมีสิทธิ์ใช้เงินนั้นในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่มีอยู่ในขณะนั้น ปริมาณเงินที่มีในประเทศ และปริมาณสินค้าและบริการในขณะนั้น จึงมีส่วนกำหนดราคาที่คุณต้องจ่ายสำหรับก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม กาแฟหนึ่งแก้ว ฯลฯ

การเพิ่มปริมาณเงินเข้ามาในระบบก็เหมือนกับการเพิ่มตัวหาร

การเพิ่มขึ้นของ”เศษ” หรือตัวตั้ง คือการเพิ่มขึ้นของปริมาณสินค้าและบริการ ซึ่งโดยปกติจะเพิ่มขึ้นอยู่แล้วจากการเติบโตขึ้นของการบริโภค การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาให้คนบริโภคกันเพิ่มขึ้น

หากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในระบบ ไม่ได้สัดส่วนกับการเพิ่มขึ้นของการบริโภคหรือปริมาณสินค้าและบริการในประเทศ จะทำให้ค่าของเงินแต่ละหน่วยเจือจางลง แบบเดียวกับการที่คุณถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลงด้วยการเพิ่มทุนให้คนอื่นมาถือหุ้น โดยจ่ายค่าหุ้นนิดเดียว

รูปแบบการเพิ่มปริมาณเงิน ก็เช่น การให้เครดิต การกู้ยืมเงินของภาครัฐ และแบบที่เห็ดชัดที่สุดในปัจจุบันก็คือ การพิมพ์แบงค์ออกมาดื้อๆของสหรัฐอเมริกา ในโครงการคิวอี Quantitative Easing ที่เป็นการเทเม็ดเงินปริมาณมหาศาลไปทั่วโลก

นี่คือเงินเฟ้อ นั่นเอง

การเพิ่มเม็ดเงินในประเทศที่เรากำลังจะได้เห็นก็คือ โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่จะเป็นการเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของประเทศอีก 2 ล้านล้านบาท จากปัจจุบันตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ปีพ.ศ.2556 เรามีเงินบาทในระบบอยู่ 1.45 ล้านล้านบาท


แน่นอนที่ว่า มันจะเป็นการเพิ่มเศษด้วยจากผลลัพธ์ของโครงการ แต่ปัญหาคือ
1) เศษที่ได้นี้ จะได้เห็นในอนาคตแต่ส่วนหรือตัวหารจะเพิ่มในปัจจุบัน และ
2) ผลลัพธ์ที่ได้จะได้สัดส่วนกับตัวหารที่เพิ่มเข้ามาหรือไม่ ซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมา เราทราบดีว่าหากการใช้เงินของภาครัฐผ่านนักการเมือง มักจะไม่มีประสิทธิภาพ และต้องผ่านการกินประชาธิปไตยอีกสองชั้น เราคงหวังผลลัพธ์ได้แค่เศษที่เหลือจากการกินของนักการเมือง

คุณรู้สึกยังไงกับการที่คาปูชิโนของคุณหายไปครึ่งแก้ว แล้วได้น้ำเปล่ามาแทน และคุณยังต้องเป็นผู้จ่ายค่าน้ำเปล่าที่เติมใหม่นี้ด้วย ?

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เงินเฟ้อกับการประเมินผลการประกอบการ


คุณกับผมต่างก็เกิดมาใยยุคที่เห็นเงินเฟ้อเป็นเรื่องปกติ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินในกระเป๋า หากไม่พิจารณาให้ดี ว่าส่วนไหนคือเนื้อเงินจริงๆ เราจะคิดว่าตัวเราร่ำรวยยขึ้น มั่งคั่งขึ้น โดยลืมนึกไปว่า ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจากการฟ่ามพองขึ้นของเงินเฟ้อไปเท่าไหร่

หากทรัพย์สินทั้งหมดของคุณเมื่อห้าปีที่แล้ว สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้หนึ่งพันชาม และในวันนี้ตัวเลขในบัญชีของคุณบอกว่า คุณมีเงินมากกว่าห้าปี่ที่แล้วสามสิบเปอร์เซนต์ แต่เมื่อนำมาคำนวณแล้ว สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวแบบเดิมในราคาปัจจุบันได้เพียง แปดร้อยชาม นั่นหมายความว่า ในความเป็นจริงแล้ว คุณจนลงตะหาก แต่ภาพลวงตาจากเงินเฟ้อ ทำให้คุณเห็นว่าคุณรวยขึ้น แม้ว่าคุณจะมีปริมาณเงินเพิ่มขึ้น แต่เงินแต่ละบาทของคุณกลับมีค่าเจือจางลง

เมื่อคุณประเมินผลการประกอบการ อย่าลืมหักความฟ่ามของเงินเฟ้อนี้ออกไปด้วย เพื่อที่จะไม่โดนเงินเฟ้อ สร้างภาพลวงตาให้ดีใจเก้อว่าผลประกอบการดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมักจะถือว่าเป็นความล้มเหลวที่จะปล่อยให้มีอัตราเงินเฟ้อสูงๆในขณะที่เขาบริหาร ดังนั้น ภาครัฐจึงมักแก้ไขความล้มเหลวด้วยการเปลี่ยนสูตรการคำนวณเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ โดยตัดค่าใช้จ่ายหมวดต่างๆที่ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อไม่สวย อกกไปจากสูตรการคำนวณ แต่ชาวบ้านไม่สามารถตัดรายจ่ายอันนั้นออกไปจากการดำรงชีวิตปกติ เว้นแต่จะอพยพไปอยู่หลังเขา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ดังนั้น เมื่อคุณนำตัวเลขเงินเฟ้อที่เป็นทางการมาใช้ คุณจึงควรปรับตัวเลขเงินเฟ้อนั้นกลับให้ใกล้เคียงกับเงินเฟ้อที่แท้จริง

ในบ้านเราไม่มีหน่วยงานที่ช่วยคำนวณหาอัตรางินเฟ้อที่แท้จริง แต่ที่สหรัฐมีกลุ่มคนที่ข้องใจกับตัวเลขเงินเฟ้อของภาครัฐ ได้คำนวณหาอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง และเผยแพร่ตัวเลขนี้ ซึ่งอยู่ที่ประมาณสองเท่าของอัตราที่ทางการประกาศ หากคุณจะใช้อัตรานี้มาประมาณอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง เพื่อประมาณการความสามารถในการประกอบการของคุณ คุณจะต้องใช้ตัวคูณสองกับอัตราเงินเฟ้อที่ภาครัฐประกาศ เช่น หากว่ารัฐบาลประกาศว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อสี่เปอร์เซนต์ ก็เป็นไปได้ว่า เงินเฟ้อจริงๆอาจจะอยู่ที่แปดเปอเซนต์ หากธุรกิจของคุณมีผลประกอบการโตขึ้นแปดเปอร์เซนต์ นั่นก็หมายความว่าที่จริงแล้วคุณขายได้เท่าเดิม ตัวเลขที่สูงขึ้นมาจากเงินเฟ้อตะหาก เช่นราคาขายแพงขึ้น

อ่านผลการประกอบการครั้งหน้า อย่าลืมเผื่อใจกับเงินเฟ้อด้วยนะครับ