นานมาแล้ว ผมเคยทำธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าหัตถกรรม ให้กับผู้ส่งออก ตอนนั้น เรามีแผนที่จะขายตรงไปถึงผู้ซื้อปลีกที่อยู่ต่างประเทศ เพราะสินค้านี้ต้นทุนผลิตของเราแค่ไม่กี่บาท
แต่ราคาขายปลีกที่สหรัฐอยู่ที่หลายยูเอสดอลล่าร์ ถ้าเราสามารถตัดตัวกลาง
คือผู้ส่งออกที่จ้างเราผลิตและห้างค้าปลีกที่เป็นผู้นำเข้าในประเทศสหรัฐออกไป เราก็จะเป็นผู้เก็บกำไรส่วนนั้นไว้เอง
แผนก็คือ เราต้องมีเวบสำหรับขายสินค้า และโปรโมทเวบเราไปถึงผู้ซื้อ
ด้วยความที่คิดว่าเราทำเองได้ ผมจึงเขียนเวบเอง ใช้เวลาทำเกือบสามเดือน แล้วจึงมาเริ่มทำการตลาด ซึ่งก็ต้องมาศึกษาการตลาดบนอินเตอร์เน็ต เพราะการตลาดบนอินเตอร์เน็ตนั้น จะไม่เหมือนกับการตลาดบนโลกแห่งความเป็นจริงเลยเสียทีเดียว เครื่องมือต่างๆ ไม่เหมือนกัน
แม้ว่าหลักการจะคล้ายกัน ก็ต้องมาศึกษาทำความเข้าใจกับมันใหม่ อะไรที่เราทำได้ ผมจะพยายามทำเองทั้งหมด
เรียกว่า ตอนนั้นโอกาสที่ใครจะได้เงินจากผมนั้นยากเต็มที
แต่แล้ว ก่อนที่งานจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผู้ว่าจ้างให้เราผลิตสินค้าให้ ก็ได้ยกเลิกแผนการจ้างคนนอกผลิต เราถูกเขาตัดออกจากแผนของเขา ก่อนที่เราจะได้มีโอกาสตัดเขาไปตามแผนของเรา
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รายรับทั้งหมด หายไปเฉยๆ
ก็เจ๊งสิครับ
ก็เจ๊งสิครับ
บทเรียนครั้งนั้น มันสอนว่า ถึงเราจะทำงานหลายๆอย่างได้ แต่เราก็ไม่ควรทำงานเหล่านั้นทุกๆอย่างด้วยตัวเอง เราควรเลือกทำเพียงบางอย่างที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์ของเรามาก
มีสาเหตุหลายอย่างที่เราไม่ควรทำอย่างนั้น
มีสาเหตุหลายอย่างที่เราไม่ควรทำอย่างนั้น
อย่างแรกก็คือ ในโลกการแข่งขันทางธุรกิจทุกวันนี้ แข่งกันที่ความเร็ว โดยเฉพาะความเร็วในการสร้างความเชื่อมั่น (speed of trust)
ถ้าคุณสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ามีต่อร้านของคุณได้เร็วกว่า ร้านคู่แข่งก็จะหมดโอกาสได้เงินจากลูกค้ารายนั้น แต่ถ้าคู่แข่งเร็วกว่า คุณก็จะเป็นฝ่ายอดเสียเอง
อย่างที่สองก็คือ ในยุคที่ความรู้ท่วมโลกเช่นนี้ คุณจะพบว่า มีความรู้ใหม่ๆในสาขาหนึ่งๆเกิดขึ้นเยอะ และเร็วมาก ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ จะถูกนำไปต่อยอด ขยายความ
หรือแม้กระทั่งหักล้าง อีกไม่กี่ชั่วโมงถัดไป พอถึงวันพรุ่งนี้ มันก็จะกลายเป็นความรู้เก่า ที่รับรู้และถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายแล้ว
หากคุณติดตามไม่ทันคุณก็เอ๊าท์ out ถ้าคุณจะ out ในเรื่องไม่สำคัญ หรือนานๆที ก็พอทน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่คุณควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ คุณจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไป
การที่เราจะเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
จึงต้องอาศัยการทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งนั้นอย่างเพียงพอ
การแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ แล้วกระจายให้หลายๆคนช่วยกันทำ ย่อมเสร็จได้เร็วกว่า และได้ผลงานที่ดีกว่าทำด้วยตัวคนเดียว การมุ่งเพียงความประหยัดด้วยการทำเอง อาจหมายถึงความสูญเสียที่มากกว่า
ต้นทุนต่ำ ไม่สำคัญเท่ากับศักยภาพ การลดต้นทุนกี่แสนกี่ล้าน ก็ไม่สำคัญเท่ากับการเพิ่มผลลัพทธ์ที่ได้ของเงินแต่ละบาทที่ต้องเสียไป
ให้สูงที่สุด
สิ่งนี้มักเป็นความเข้าใจผิดของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการหัวอนุรักษ์นิยม แบบที่ผมเคยเป็น
สิ่งนี้มักเป็นความเข้าใจผิดของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการหัวอนุรักษ์นิยม แบบที่ผมเคยเป็น