วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การทำงานอย่างมีความสุข

ผลตอบแทนจากการทำงานมีสองอย่างที่สำคัญ คือ
ประสบการณ์ และเงิน
เมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน หรือเมื่อเริ่มต้นสายงานใหม่
เราควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์ก่อน แล้วเงินจะตามมาเอง
หากคนที่มากประสบการณ์ มาพบกับคนที่มากเงิน
ในที่สุดแล้ว
คนที่มีประสบการณ์จะได้เงินไป
ส่วนคนที่มีเงิน ก็จะได้ประสบการณ์ไป :)

หลายคนที่เลือกงานเพียงเพราะเงิน
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน หรือเมื่อเริ่มมีความตึงเครียดในการทำงาน
อาจเกิดสภาพ การทนอยู่ ในที่ทำงานนั้น
การลุกจากที่นอนเพื่อไปทำงานจึงต้องใช้กำลังใจมากขึ้นเรื่อยๆ

หากได้คิดถึงความจริงที่ว่า
เราใช้เวลาในที่ทำงานไม่ต่ำกว่าวันละเก้าชั่วโมง
หรือมากกว่าหนึ่งในสามของเวลาในหนึ่งวัน
และถ้าหากว่า เราตัดเวลาที่เรานอนหลับ
ซึ่งเป็นเวลาที่เราไม่มีสติรับรู้โลกภายนอกออกไปแปดชั่วโมงแล้ว
เวลาในที่ทำงานจะมากกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาแห่งการตื่นของเราเลยทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะปล่อยให้เวลามากขนาดนี้
หมดไปกับความไม่สบายใจอย่างนี้ต่อไปหรือ
จะเป็นอย่างไร หากว่าเราสามารถเปลี่ยนเก้าชั่วโมงนี้
เป็นเวลาแห่งความสุข

นั่นต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกงาน
เราไม่ควรเลือกงานเพียงเพราะเงินเป็นเหตุผลเดียว
แต่ควรทำแบบเดียวกับการเลือกแฟน
คือมีความรักมาเกี่ยวข้องด้วย
(แต่เงินก็ยังมีความสำคัญอยู่นะ :p)

เมื่อคุณได้ทำงานที่คุณรัก
คุณก็จะมีเก้าชั่วโมงอยู่กับสิ่งที่คุณรัก
ก็จะเป็นเก้าชั่วโมงอันแสนสุข

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเลือกทำงานที่ตนรัก
หลายคนมีข้อจำกัดอื่นๆทำให้ทางเลือกลดลง
บางข้อจำกัด ก็อาจจะตั้งขึ้นมาจำกัดตัวเองแบบไร้เหตุผล
เช่น ไม่อยากทำงานย่านนั้นเพราะมีอดีตฝังใจ
แต่บางครั้งอาจเป็นความจำเป็นจริงที่ไม่อาจก้าวล่วงไปได้

ดังนั้น
เคล็ดลับในการทำงานให้มีความสุข
จึงไม่ได้อยู่ที่การได้ทำงานที่เรารัก
แต่อยู่ที่
การรักงานที่เราทำ

ด้วยการหาจุดดีของงาน แง่มุมที่สนุกๆที่มีอยู่
ผสานกับการมองโลกในแง่บวกอีกนิด
คุณก็จะมีเก้าชั่วโมงอันแสนสุขได้เช่นกัน

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สองคน ยลตามช่อง
คนหนึ่งมอง เห็นโคลนตม
คนหนึ่ง ตาแหลมคม
เห็นดวงดาว อยู่พราวพราย
 - - ภราดา ฟ. ฮีแรห์ แห่งอัสสัมชัญ - -

คนสองคนมองผ่านช่องเดียวกัน
คนหนึ่งมองเห็นโคลนตมสกปรก
อีกคนกลับมองเห็นผืนฟ้าพร่างพรายด้วยดวงดาว
ทำไมทั้งสองคนเห็นต่างกัน ทั้งๆที่มองผ่านกรอบเดียวกัน

นั่นเป็นเพราะวิธีการมองของทั้งคู่ต่างกัน สิ่งที่เห็นจึงไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมองต่ำ ก็เห็นแต่โคลน อีกคนมองสูง ก็จะเห็นแผ่นฟ้ากว้าง

เช่นเดียวกับปัญหา โดยสภาพของมันเอง ปัญหาก็เป็นเพียงอะไรบางอย่างที่เรียกร้องการเอาใจใส่ คล้ายๆกับการที่แฟนคุณเรียกร้องเอาจากคุณ หากคุณสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม ปัญหาก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

และถ้าหากว่าปัญหานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณคนเดียว หากแต่เกิดขึ้นกับทุกคนในธุรกิจเดียวกับคุณ การที่คุณสามารถหลุดออกจากปัญหาได้ แต่คนอื่นในธุรกิจที่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากบ่วงปัญหา กลายเป็นวิกฤติรัดคอคนนั้น นั่นก็จะกลายเป็นโอกาสของคุณในธุรกิจไปในทันที

ทัศนคติของคุณต่อสิ่งที่มองจึงมีความสำคัญ เพราะมันจะกำหนดปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งนั้นของคุณ

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ความว่า บริษัทผู้ผลิตรองเท้าสองแห่งที่เป็นคู่แข่งกัน ได้ส่งตัวแทนขายของตนไปสำรวจตลาดยังเกาะแห่งหนึ่ง ผู้แทนของบริษัทแรกรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ไม่นิยมสวมรองเท้า บริษัทไม่มีโอกาสขยายตลาดที่นี่แต่อย่างใด

ในขณะที่ผู้แทนของอีกบริษัทหนึ่งรายงานกลับมาว่า คนที่นี่ยังไม่มีรองเท้าสวมเลย โอกาสของบริษัทจึงมีอยู่มาก

สิ่งที่ผู้แทนทั้งสองมอง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่เห็นกลับต่างกัน เราคงไม่อาจบอกได้ว่าใครเห็นถูก ใครเห็นผิด แต่เราสามารถบอกได้ว่า บริษัทแรกไม่มีโอกาสได้การค้าเพิ่มขึ้น สิ่งที่สูญเสียไปก็คือโอกาส(ที่อาจจะมีหรือไม่มีจริงก็ได้) แต่ก็ไม่ต้องเสียอะไรกับการลงทุนนอกจากค่าเดินทางของผู้แทนคนนั้น

ส่วนบริษัทที่สอง มีโอกาสที่จะได้การค้าเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับโอกาสที่จะขาดทุนจากการลงทุนที่ไปไม่ถึงเป้าหมายที่เห็น

การมองแบบผู้แทนคนแรก เป็นการมองแบบอนุรักษ์ พยายามรักษาสภาพเดิมไว้ ไม่ชอบความเสี่ยง ส่วนผู้แทนคนที่สองจะมองแบบนักปฏิรูป เน้นการมองไปข้างหน้า พยายามมองหาสิ่งที่ทำได้ ไม่มีวิธีไหนผิด หรือถูกทั้งหมด

หากคุณไปเดินเล่นในสวนไม้ดอกนานาพรรณ แล้วผมถามคุณว่า คุณเห็นดอกไม้สีม่วงหรือไม่ อยู่ที่ไหนบ้าง บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น แต่ถ้าให้คุณกลับไปหา เกือบทุกคนจะได้เห็น (ก็คงต้องยกเว้นบางคนที่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าดอกไม้คืออะไร สีม่วงเป็นยังไง หรือไม่ก็ขี้เกียจเดินกลับไปกลับมา)

และเมื่อคุณกลับมาตอบคำถามนี้ ถ้าผมถามต่อไปว่า คุณเห็นลายแทงขุมทรัพย์ที่ผมซุกไว้โคนต้นเจ้าไม้ดอกสีม่วงต้นนึงหรือไม่ เช่นเดียวกัน บางคนอาจเห็น บางคนอาจไม่เห็น แต่ถ้าให้กลับไปหา เกือบทุกคนจะเห็น

นี่เป็นเรื่องธรรมดา ที่เรารู้ แต่เราไม่ได้คิดถึงว่า เราสามารถจะหาได้เจอ ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังมองหาอะไร
มันต้องเริ่มต้นที่ว่า เราต้องรู้ก่อนว่า เรากำลังมองหาอะไร

ผู้แทนคนแรกมาเพื่อมองหาเหตุที่ไม่ควรลงทุน ส่วนผู้แทนคนที่สอง มาเพื่อมองหาเหตุที่ควรลงทุน ทั้งสองคนต่างก็ได้เจอสิ่งที่ตนมองหา

สำหรับผู้แทนคนที่สอง หรือผู้บริหารในบริษัทนั้น เมื่อได้เห็นโอกาสแล้ว ก็จะต้องมองหาวิธีการที่จะเปิดตลาดรองเท้าสำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักรองเท้ามาก่อน แต่อย่างที่กล่าวมาแล้ว เมื่อเขารู้ว่าเขาจะมองหาอะไร เขาก็จะพบสิ่งที่เขาจะหา เมื่อเขามองหาวิธีเปิดตลาด เขาก็จะได้วิธีเปิดตลาดเยอะแยะไปหมด แต่เนื่องจากมีทรัพยากรจำกัด เขาไม่สามารถนำทุกวิธีมาใช้ เขาจึงต้องตัดสินใจเลือกวิธีที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุด

เมื่อคุณมีปัญหา คุณมองปัญหาแบบไหน ? แบบผู้แทนคนแรก ที่มองหาเหตุที่จะถอย มองลงแบบที่จะได้เห็นโคลนตม หรือว่ามองแบบผู้แทนคนที่สอง ที่มองหาเหตุที่จะรุก มองขึ้นเพื่อเห็นท้องฟ้า

แต่ไม่ว่าจะมองวิธีไหนนั้น อย่างน้อยที่สุด หวังว่า คุณอย่าได้แกล้งทำเป็นว่า มันไม่ใช่ปัญหา แกล้งนั่งทับปัญหาซะงั้น

จริงอยู่ที่ว่ามีปัญหาบางลักษณะที่สามารถคลี่คลายไปได้เองเมื่อเวลาผ่านไป เช่นการคิดถึงใครบางคน เมื่อเวลาผ่านไปความคิดถึงก็เริ่มจางลง จนในที่สุด ความคิดถึงนั้นไม่กลายเป็นปัญหาของคุณอีกต่อไป เวลาเป็นเหมือนกับสายน้ำที่ช่วยเจือเกือบทุกสิ่งให้จางลงได้

แต่บ่อยครั้งที่เวลาอาจไม่ใช้สายน้ำธรรมดา แต่เป็นสายน้ำกรดที่กัดกร่อนอะไรก็ตามที่มาอยู่ด้วยกัน นอกจากจะไม่ช่วย กลับจะซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายลง

เวลาที่คุณปวดหัว คุณอาจเพียงแค่พักผ่อนโดยไม่ต้องคิดอะไร นานไปก็หาย แต่ถ้าการปวดหัวนั้นเป็นเพราะก้อนเนื้องอกในสมอง เวลาที่นานขึ้นหมายถึงขนาดก้อนเนื้อยิ่งโตขึ้น อันตรายที่เพิ่มขึ้น และโอกาสรอดที่ลดลง

ดังนั้นมันจะดีกว่า ถ้าคุณมีปัญหา แล้วคุณจะยอมรับว่ามีปัญหา วิเคราะห์มัน แล้วหาวิธีแก้ ส่วนที่ว่าคุณจะวิเคราะห์ว่าเป็นแค่ปวดหัวธรรมดา แล้วไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนอน ก็อีกเรื่องนึงเพราะอย่างน้อย ถ้าคุณรู้ว่าคุณปวดหัว เมื่อได้พักผ่อนแล้วก็ยังไม่หาย คุณจะได้หาวิธีอื่นแก้ไขต่อไป