วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

รูปแบบการจัดตั้งกิจการของธุรกิจ Business Entity


          ในการประกอบกิจการนั้น ธุรกิจสามารถเลือกวิธีจัดตั้งธุรกิจได้หลายแบบ คือ
1.      เจ้าของคนเดียว
2.      ห้างหุ้นส่วน
3.      บริษัทจำกัด
(อ่านรายละเอียด แต่ละประเภทที่นี่


โดยที่เหตุผลในการตัดสินใจในการเลือกรูปแบบที่ต่างกัน คือ
·        ขนาดของเงินลงทุนที่ต้องใช้ในธุรกิจนั้น
หากเป็นธุรกิจขายข้าวแกงในตลาด ใช้เงินลงทุนไม่มาก ย่อมไม่มีปัญหาที่พ่อค้าแม่ค้าทั่วไปจะหาเงินมาลงเป็นทุนเพื่อจัดตั้งธุรกิจ แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนมาก มากกว่าที่คนหนึ่งคนจะลงเงินได้ด้วยตัวคนเดียว เช่นธุรกิจการให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
กฎหมายก็เปิดโอกาสให้มีการสร้างความร่วมมือระหว่างคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ในรูปแบบของห้างหุ้นส่วน และบริษัท โดยกำหนดสิทธิหน้าที่ระหว่างกันของเจ้าของร่วม และระหว่างเจ้าของร่วมกับบุคคลภายนอก
อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มิได้บังคับว่า หากใช้เงินลงทุนน้อยแล้ว จะไม่สามารถประกอบกิจการในรูปแบบของเจ้าของหลายคนแบบห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท เจ้าของร้านขายยาใดๆ ก็สามารถเลือกประกอบธุรกิจในรูปแบบห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท แม้ว่าจะมีเงินทุนเพียงพอที่จะทำได้ด้วยลำพังตัวคนเดียวก็ตาม

·        การจำกัดความเสี่ยง
ในการประกอบธุรกิจใดๆ ล้วนมีความเสี่ยง แต่ถ้าคนในสังคมล้วนแต่กลัวความเสี่ยงจนไม่คิดที่จะประกอบกิจการ การซื้อขายจะเกิดขึ้นน้อย อาจเป็นเพียงแค่การอุ้มไก่ไปแลกกับผัก การจ้างงานก็จะไม่เกิดขึ้น กระแสเงินก็จะไม่หมุนเวียน ไม่ก่อให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือบริการใหม่ๆที่จะช่วยให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไปสุดท้ายที่รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีมาพัฒนาประเทศได้
ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้ รัฐบาลของแต่ละประเทศจึงเห็นความสำคัญของการช่วยจำกัดความเสี่ยง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้นในการประกอบธุรกิจ ให้มีการลงทุนมากขึ้น และมาตรการหนึ่งที่ใช้ก็คือ การแยกทรัพย์สินและหนี้สินของกิจการออกมาจากทรัพย์สินของตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของกิจการ อย่างน้อยก็ให้ผู้ลงทุนมั่นใจว่า หากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ผลเสียหายจะเกิดขึ้น จะจำกัดวงเพียงแค่ในธุรกิจนั้น ไม่ลามต่อถึงทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ลงทุน โดยให้ธุรกิจนั้น เป็นเสมือนคนอีกคนหนึ่งที่กฎหมายยอมรับ และให้มีสิทธิบางอย่างเหมือนกับคนคนหนึ่ง เช่น เป็นหนี้ได้ รับเงินได้ เรียกว่าเป็น “นิติบุคคล” ซึ่งนิติบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น มีสองรูปแบบคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด

·        ประโยชน์ทางด้านภาษี
คนทุกคนในประเทศ เมื่อมีรายได้ ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี ธุรกิจที่มีรูปแบบการจัดตั้งต่างกัน ก็มีวิธีการคำนวณภาษีที่ต่างกัน
o   อัตราภาษี
หากเป็นเจ้าของคนเดียว ประกอบธุรกิจในนามเจ้าของคนนั้นๆ อัตราภาษีที่เสียก็คืออัตราภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่เป็นแบบขั้นบันไดตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 37% หากว่าคุณมีเงินได้หลังหักลดหย่อนและค่าใช้จ่ายมากกว่าสี่ล้านบาทขึ้นไป
แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล อัตราภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว จะอยู่ที่ 30% ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีของบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ออกโปรโมชั่นมากระตุ้นให้เกิดการประกอบธุรกิจมากขึ้น โดยลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ในรอบปีภาษี 2555 เหลือเพียง 23% และรอบบัญชีปี 2556 เหลือเพียง 20% เท่านั้น
(ดูรายละเอียดอัตราภาษีได้ที่ http://www.taxthai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539367311&Ntype=1)
o   การคำนวณค่าใช้จ่าย
เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี จะเป็นเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายของกิจการ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่จะนำมาหักออกจากเงินได้เพื่อคำนวณภาษีนี้ กรมสรรพากรยอมรับการหักค่าใช้จ่ายสองรูปแบบคือ
รูปแบบเหมา คือคิดเป็นเปอร์เซนต์ของเงินได้ทั้งก้อน ซึ่งอัตราเปอร์เซนต์นี้ก็แตกต่างกันไปตามประเภทธุรกิจที่ทำ เช่น ร้านขายยาหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 70% โดยไม่สนใจว่าต้นทุนซื้อยาเข้าร้านของคุณจะเป็นเท่าไหร่ รายจ่ายอื่นของคุณจะมากหรือน้อย และคุณจะขาดทุนหรือไม่ คุณก็ต้องเสียภาษี โดยนำสามสิบเปอร์เซนต์ของเงินได้ของร้านมาคำนวณภาษีเงินได้ต่อไป
รูปแบบที่สองคือ การหักค่าใช้จ่ายตามจริง โดยรายการค่าใช้จ่ายที่จะนำมาหักนั้น ต้องเป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพากร ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงของธุรกิจส่วนใหญ่ เช่นค่าจ้างตามความเปินจริง ต้นทุนสินค้าตามความเป็นจริง ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนต่างๆ เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย จึงจะนำมาคำนวณภาษี นั่นหมายความว่า หากคำนวณออกมาแล้ว ได้ผลเป็นขาดทุน กิจการนั้นก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในรอบบัญชีนั้น และยังสามารถนำผลขาดทุนในปีที่ผ่านมา มาหักเงินได้พึงประเมินในปีถัดไปหากว่ามีกำไรได้อีกด้วย
ในทางปฏิบัติ มีบริษัทจำนวนมากใช้วิธีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยนำกำไรจากการประกอบกิจการไปลงลงทุนต่อ ซึ่งเป็นการเพิ่มตัวเลขของค่าใช้จ่าย ทำให้งบกำไรขาดทุนแสดงตัวเลขติดลบ แต่ตัวเลขทรัพย์สินของธุรกิจในงบดุลกลับเพิ่มมากขึ้น นั่นคือ ธุรกิจสามารถโตขึ้นเรื่อยๆ และไม่ต้องเสียภาษี

          ทราบแนวทางการพิจารณาแล้ว ลองประเมินดูนะครับ ว่าธุรกิจของคุณ ควรจะเดินไปในแนวทางไหน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น