วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คุณภาพ บนพื้นฐานศักยภาพของร้านขายยา

ณ วันที่กำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ กำลังเป็นที่ถกเถียงเสียงดังกับร่างพระราชบัญญัติยา ฉบับใหม่ในประเด็นต่างๆ

ในระหว่างที่รอผลสรุปเพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติยาฉบับใหม่ กฏกระทรวงว่าด้วยการต่ออายุใบอนุญาตขายยาก็ยังมีผลใช้บังคับอยู่ กำหนดเวลาผ่อนผันสำหรับการตรวจประเมินร้านขายยาเดิมก่อนต่ออายุใบอนุญาต ยังเดินถอยหลังสู่การเริ่มบังคับใช้

ร้านขายยาแม้ว่าเป็นธุรกิจ แต่ด้วยความที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้ใช้บริการ เรื่องคุณภาพความพร้อมที่จะส่งมอบความปลอดภัยไปพร้อมๆกับยาและบริการ จึงมีความสำคัญ

เมื่อพิจารณาลึกลงไปว่า ทุกคุณภาพคือค่าใช้จ่าย คุณภาพจึงไม่สามารถยืนอยู่ลอยๆเป็นเอกเทศได้ คุณภาพจะต้องมีศักยภาพในการประกอบการมารองรับในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคุณภาพ รักษาคุณภาพ ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพ ล้วนแต่ต้องอาศัยศักยภาพในการประกอบการมาสนับสนุนทั้งสิ้น

การกล่าวถึงคุณภาพในร้านขายยาโดยไม่ให้ความสำคัญกับศักยภาพในการประกอบการ จึงเหมือนกับการใช้งานรถยนต์โดยปฏิเสธความสำคัญของเชื้อเพลิง แม้ว่าในขณะนั้น รถยนต์ยังมีน้ำมันพอจะวิ่งได้ แต่เรารู้ว่าเชื้อเพลิงในถังย่อมมีวันหมด

คุณภาพเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังให้ยกระดับให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับศักยภาพในการประกอบการของวิสาหกิจขนาดเล็กที่มักจะลดลงเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป

เราสามารถสังเกตได้จากวิสาหกิจขนาดเล็กที่ล้าหลังมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งอันที่จริง เมื่อครั้งแรกตั้งธุรกิจเหล่านี้ ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันได้ พอเอาตัวรอดได้ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยน ความต้องการผู้บริโภคเปลี่ยน ความไม่สำเหนียกถึงความเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน กว่าจะรู้ตัว ก็เหมือนกบต้มที่ไม่มีกำลังพอที่จะโดดหนีออกจากกะทะ

ร้านขายยาก็เช่นกัน หากย้อนอดีตกลับไป หลายๆร้านเคยเป็นดาวเด่นของวงการ แต่เมื่อกิจวัตรประจำวันต้องจมอยู่กับงานขาย จนไม่ได้เงยหน้ามองสภาพแวดล้อม ในที่สุดดาวเด่น ก็กลายเป็นดาวตก ร้านดาวเด่นในอดีตเคยเป็นเช่นนี้ และยังจะเป็นเช่นนี้กับดาวในปัจจุบันและอนาคต หากเรายังไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต

ร้านขายยาในเขตเมืองประสบปัญหาจากการแข่งขันสูง ทั้งจากคู่แข่งรายใหม่ หรือคู่แข่งรายใหญ่ที่ต่างก็มุ่งจับกลุ่มลูกค้าในเขตเมืองที่มีกำลังซื้อสูง จนกระทบกระเทือนถึงศักยภาพอย่างหนัก ร้านยากลุ่มนี้ หากจะยกระดับคุณภาพจึงต้องยกระดับศักยภาพก่อน เป็นการสร้างฐานของคุณภาพให้แข็งแรง

ส่วนร้านขายยากลุ่มที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับคุณภาพในมาตรฐานที่วางไว้ สามารถที่จะแนะนำวิธีปฏิบัติในแต่ละมาตรฐานของคุณภาพที่วางไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ศักยภาพที่แต่ละร้านมีอยู่นั้น ขอให้หมั่นตรวจสอบให้ดี เพราะศักยภาพที่ควรยึดไว้เป็นเกณฑ์ คือศักยภาพสัมพัทธ์ คือความสามารถในการประกอบการเมื่อเทียบกับท้องตลาด ซึ่งหากไม่ปรับตัวเป็นระยะ ศักยภาพนี้จะลดลงไปตามเวลาที่ผ่านไป

กาลเวลาไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจทั่วไปเข้มแข็งขึ้น เฉพาะธุรกิจที่เรียนรู้จะปรับตัวเท่านั้นที่สามารถเข้มแข็งขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

การช่วยเหลือร้านขายยาที่ปรับตัวไม่ทัน ขาดศักยภาพในการประกอบการอย่างหนัก จึงต้องเริ่มจากการสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ เพื่อเริ่มการพัฒนาทั้งด้านศักยภาพและคุณภาพ การทำโครงการเพื่อช่วยฟื้นฟูศักยภาพของผู้ประกอบการ จะช่วยให้ผู้ประกอบการเดิมแข็งแรงขึ้นโดยเร็ว

ทำไมถึงต้องช่วยร้านขายยาดั้งเดิมเหล่านี้ ?
คำถามคล้ายๆกับที่เคยมีผู้สงสัยว่า ทำไมต้องมีโครงการช่วยชาวเขา เพื่อให้เลิกปลูกฝิ่น
มีหลายเหตุผลมาก แต่ขอยกมาแค่สองเรื่องคือ
1) หากต้องการให้เขาเลิกทำสิ่งที่ผิด ต้องช่วยให้เขาทำสิ่งที่ถูก จึงจะเป็นการขจัดสิ่งผิดอย่างยั่งยืน เพียงแค่ส่งทหารตำรวจไปเผาไร่ฝิ่น จับคนปลูกมาติดคุก พอทหารตำรวจกลับไป ไร่ฝิ่นก็เบ่งบานเหมือนเดิมด้วยลูกหลานเขายังอยู่ วิถีชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป
2) มนุษยธรรม

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไอเดีย คำตอบ คำถาม

ไม่ได้เขียนบล๊อกมานานมาก ยอมรับว่าช่วงหลังไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจให้เขียน อาจเป็นเพราะจุดสนใจของผมช่วงนี้อยู่ที่การหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องเภสัชกร ซึ่งเป็นการเฉพาะเรื่อง มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของธุรกิจแบบเดิมที่ผู้ประกอบการทั่วไปจะสนใจ

วันหยุด จะเป็นวันที่ผมใช้ย่อยข้อมูล และเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา เหมือนเรากินข้าวลงท้อง มันไม่ใช่เพียงแค่ให้อิ่มท้อง ความสำคัญอยู่ที่การย่อยเพื่อให้เป็นสารอาหารที่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ ข้อมูลและความรู้ก็เข่นกัน เราต้องย่อยและดูดซึมส่วนที่ดีให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ส่วนที่เป็นกากก็ขับถ่ายออกไป

วันนี้ ได้เข้ามาเปิดบล๊อกอ่านบทความเก่าๆของตัวเอง ในระหว่างการย่อยข้อมูลใหม่ให้เข้ากับเรื่องเก่าๆ กลับได้ไอเดียเพิ่มขึ้นจากเรื่องที่ตัวเองเขียน

ความจริงมันเป็นเรื่องพื้นๆ ที่คุณจะ "เห็น" สิ่งที่คุณเคยมอง ในแบบที่ไม่เหมือนเดิม เพราะทุกครั้งที่คุณมองอะไรสักอย่างหนึ่ง ประสบการณ์ที่คุณสะสมในช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเป็นเหมือนแว่น ที่ช่วยปรับสิ่งที่คุณมองเพื่อรับเข้าไปสะสมรวมกับประสบการณ์เดิม

ประสบการณ์ของคุณ อาจเป็นแว่นขยายให้คุณเห็นบางอย่างชัดขึ้น หรืออาจเป็นแว่นสีที่ช่วยกรองแสงที่จ้าเกินไป หรือแม้แต่กระทั่ง เป็นเลนส์ตลกที่บิดเบือนข้อมูลให้ผิดเพี้ยนไปก็ได้

ระยะนี้มีคน quote ประโยคหนึ่งของไอน์สไตน์มาใช้บ่อย ที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" ทำให้ผมนึกถึงอีกประโยคหนึ่งของไอน์สไตน์ที่ว่า "เคล็ดลับของความคิดสร้างสรรค์คือการปกปิดแหล่งที่มาของไอเดีย"

ความคิดสร้างสรรค์ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของเดิม ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดจากของเดิม หรือการเอาไอเดียจากที่หนึ่งมาใช้กัยอีกที่หนึ่ง หรือการเอาไอเดียมายำรวมกัน ก็จะได้ของใหม่ที่ต่างไปจากเดิม เป็นนวัตกรรม

การฝึกสร้างไอเดียใหม่จากสิ่งที่มีอยู่เดิม จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญ ถ้าคุณสามารถสร้างไอเดียได้จากสิ่งที่มีรอบตัว เท่ากับว่า คุณแทบจะไม่อับจนความคิดเลย

วิธีการง่ายๆ แค่คุณปักหมุดเรื่องที่คุณสนใจเอาไว้ในใจอย่างจดจ่อ แบบว่าหายใจเข้าออกเป็นเรื่องนั้น กินนอนกับเรื่องนั้น เมื่อได้อย่างนี้แล้ว เมื่อคุณกวาดสายตามองสิ่งรอบๆตัว ไม่ว่ามดแมลง ต้นไม้ใบหญ้า ตำรับยา ผู้คน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ไปจนถึงพระไตรปิฎก ความสนใจของคุณ จะเป็นเหมือนแว่นที่ช่วยคุณกรอง หรือโฟกัสไอเดีย จากสิ่งรอบข้างให้เด่นชัดขึ้น

ที่คุณทำก็แค่ หาไอเดียที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ แค่นั้น มันเหมือนกับเวทมนต์ แต่ที่จริงก็คือมหัศจรรย์ของ "จิตใต้สำนึก" ของคุณเอง ที่คุณมีอยู่แล้วทุกคน ต่างกันก็แค่ความชำนาญในการใช้

วิธีนี้ จะช่วยหาคำตอบให้คุณได้ตรงกับคำถาม ความสำคัญจึงอยู่ที่ คุณตั้งคำถามไว้ถูกต้องหรือเปล่า คำถามที่ไม่ตรงกับความหมายของชีวิต หรือภาพรวมของแผน แม้จะเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถาม ก็ยังเป็นสิ่งแปลกปลอมอยู่ดี