ผู้ที่เปิดร้านขายยาเมื่อสามสี่สิบปีที่แล้ว ก็คงคล้ายๆกับชาวนาที่มีบ้านเรือนและที่ดินติดทางน้ำ มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกธัญพืชได้ผลบริบูรณ์ การคมนาคมก็แสนสะดวก เรียกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
แต่สรรพสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรม ทางน้ำสามารถเปลี่ยนทางได้ ที่นาบ้านเรือนที่เคยเป็นที่ลุ่มติดทางน้ำ วันหนึ่งเมื่อคุณมองไปอีกที มันอาจกลายเป็นที่ดอนห่างไกลทางน้ำก็ได้ บางรายอาจโชคร้ายกว่านั้น ที่รู้ตัวอีกที บ้านริมน้ำของตัวเองก็กลายเป็นบ้านกลางน้ำไปแล้ว กลายเป็นอันตรายต่อตัวเองจากน้ำป่าที่อาจพัดบ้านลอยตามกระแสน้ำเชี่ยวลงทะเลไปทั้งหลัง และต่อผู้สัญจรไปมาที่อาจแล่นเรือมาชนบ้านของคุณที่โผล่มาอยู่กลางน้ำ
ธุรกิจร้านขายยาก็เช่นกัน เปรียบไปก็เหมือนบ้านเรือนที่นาที่ตั้งอยู่ในชัยภูมิ หรือสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ แต่สภาพแวดล้อม สภาพสังคมนี้ มันก็เปลี่ยนของมันไปทุกวินาที ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ อยากให้มันเปลี่ยนหรือเปล่า มันก็ยังเปลี่ยนไปตลอดเวลา
ผู้ประกอบการบางรายที่หลับลึก หลับนาน ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาไม่ได้ตื่นมาดูสภาพภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป หากเพิ่งตื่นขึ้นมา ก็จะพบว่า ธุรกิจของเขามิได้เป็นบ้านริมน้ำอีกแล้ว แต่กลายเป็นบ้านกลางน้ำ ซึ่งหากมิได้มีการจัดการใดๆเพื่อรับมือกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปก็อาจก่ออันตรายให้กับตัวเองและบุคคลอื่นได้โดยไม่ตั้งใจ จึงมีคำถามขึ้นว่า “ธุรกิจร้านขายยา ยังมีอนาคตหรือไม่ ?”
ตอบเลยครับว่า ธุรกิจนี้ ยังไปต่อได้ แต่อาจต้องมีการปรับแต่ง หรือเปลี่ยนแปลงตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย (นิดหน่อยในกรณีที่คุณมีการปรับตัวมาแล้วบ้าง แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ก็อาจต้องทำเยอะหน่อย) ตามลักษณะสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนไป แต่ทั้งนี้ การที่ธุรกิจยังไปต่อได้นั้น มิได้หมายความว่า ผู้ประกอบการร้านขายยาทุกรายจะไปต่อได้พร้อมกับธุรกิจนะครับ มันเป็นสองเรื่องที่แยกจากกัน ธุรกิจนี้ไปได้ แต่อาจไปโดยไม่มีคุณก็ได้นะ
เรื่องแรกที่ว่าธุรกิจนี้ไปได้ ก็เพราะธุรกิจนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เรา แต่มิใช่ว่ามีแต่ร้านขายยาอย่างเดียวที่เป็นคำตอบของประชาชนในปัจจัยสี่หัวข้อนี้
เราเคยท่องกันมาว่า ยารักษาโรคเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่เมื่อพิจารณาลึกลงไปถึงที่มา ต้องบอกว่า “อะไรก็ได้ที่ทำให้พ้นจากการเจ็บป่วย” ต่างหากที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ แต่เดิม เราเคยเรียกส่งนี้ว่า “ยา” แต่ทุกวันนี้ เรายอมรับกันว่า อาหารก็สามารถแก้โรคได้, การนวดก็เป็นที่นิยมในการบำบัดโรคบางอย่าง, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็นิยมใช้ในการป้องกัน และบางทีก็ใช้บำบัดโรคด้วย
และอีกสารพัดข้อเท็จจริงที่บอกว่า ถึงเราจะอยู่ในชัยภูมิที่ดี แต่ในชัยภูมินี้ ไม่ได้มีเราคนเดียว
เหตุที่สองที่ทำให้ธุรกิจยังน่าสนใจก็เพราะ ตอนนี้เรากำลังโต้คลื่นโลกาภิวัตน์อยู่ ก่อนหน้านี้ธุรกิจในประเทศ ยังได้กฎหมายและระเบียบต่างๆเป็นเกาะกำบัง (เพราะเกราะกำบังคลื่นไม่ได้หรอก) ซึ่งสิ่งกำบังเหล่านี้ คงจะทนคลื่นโลกาภิวัตน์ได้อีกไม่นาน ก็ต้องเข้าสู่การค้าเสรีสารพัดชนิด ทั้งแบบกลุ่มเช่นการค้าเสรีอาเซียน และการค้าเสรีระหว่างสองประเทศซึ่งตกลงกันง่ายกว่าการค้าเสรีแบบกลุ่ม บางธุรกิจที่อยู่ตำแหน่งที่ไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งกำบัง หากไม่แข็งแกร่งพอ ก็โดนซัดจมคลื่นโลกาภิวัฒน์ไปเรียบร้อยแล้ว
คลื่นโลกาภิวัฒน์จะส่งผลเต็มที่ต่อธุรกิจที่ต้องอาศัยการ “เคลื่อน” สูง เช่นผลิตสินค้าแล้ว “เคลื่อน” ไปขายยังปลายทาง ธุรกิจผลิต จึงได้รับผลกระทบจากโลกาภิวัตน์จากการ “เคลื่อน” ของสินค้าจากทุกสารทิศเข้ามาแข่ง
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโลกาภิวัตน์น้อยกว่า ก็คือธุรกิจที่ “ไม่เคลื่อน” หรือธุรกิจที่เกาะติดพื้นที่ ร้านค้าปลีกอย่างร้านขายยา ถือว่าเป็นธุรกิจที่เกาะติดพื้นที่ เกาะติดชุมชนซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปจากการเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ท ขณะนี้ แต่ละคนอาจมิได้มีตัวตนเพียงหนึ่งที่เป็นอยู่ในโลกความเป็นจริงอีกแล้ว
ในชีวิตจริง คุณอาจเป็นเจ้าของร้านขายยาเล็กๆ กลางวันนั่งตบยุง รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่ในโลกไซเบอร์ คุณอาจกลายเป็นเสี่ยใหญ่ ใจสปอร์ต มีสาวๆ(ที่อุปโลกน์ตัวเองแบบเดียวกับที่คุณทำ)ล้อมหน้าล้อมหลัง แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็อุปโลกน์กันได้ โดยการไปเอารูปดาราเกาหลีที่ไม่ดังมาบอกว่าเป็นรูปคุณ (ถ้าดังแล้ว เขาก็รู้กันหมดสิว่าคุณเป็นตัวปลอม) ซึ่งในโลกไซเบอร์มีเกือบทุกอย่างเหมือนโลกความเป็นจริง เพียงแต่อาจหวือหวากว่า เพราะมันมาจากการสมมุติ
ธุรกิจบางแห่งที่เห็นแนวโน้มของ “โลกเสมือนจริง” นี้ ก็จะเริ่มขยับขยายไปตั้งหลักในโลกไซเบอร์กันแล้วใน “ชุมชนเสมือน” เช่น secondlife.com twitter.com facebook.com
เมื่อตัวตนเสมือนก็มีแล้ว ชุมชนเสมือนก็มีแล้ว ธุรกิจในโลกเสมือนก็มีแล้ว หากต่อไปสามารถตอบคำถามเรื่องการขนส่งสินค้าของจริงไปยังลูกค้าในชุมชนเสมือนนี้ได้อย่างรวดเร็วแบบเดียวกับที่โลกความเป็นจริงสามารถทำได้ เมื่อนั้น ร้านค้าในชุมชนเสมือนจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับการค้าปลีก และเมื่อมองในแง่กลับ หากเราเป็นร้านค้าในชุมชนเสมือนของโลกไซเบอร์ นั่นก็จะเป็นช่องทางที่ทรงอานุภาพเช่นกัน
อีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจร้านขายยายังดูมีอนาคตอยู่โดยที่ผู้ประกอบการบางคนอาจไม่รู้ และไม่ชอบก็คือ การที่มีกฎระเบียบควบคุมในการประกอบธุรกิจนี้
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความรู้สึกว่ากฎระเบียบเหล่านี้มันเข้มงวดรัดตัว ทำให้กระดุกกระดิกตัวลำบาก ไปจนถึงกับรู้สึกหายใจไม่ออก หรือหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อคิดถึงกฎระเบียบเหล่านี้
ความจริง กฎหมาย และระเบียบต่างๆเหล่านี้ เป็นกำแพงกั้นไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กเข้ามาในธุรกิจได้ง่ายนัก ถ้าไม่มีกฎระเบียบเหล่านี้ ร้านขายยาก็จะมีเท่ากับจำนวนร้านโชวห่วยหรือเป็นแสนๆร้านค้า แทนที่จะเป็นหมื่นกว่าร้านขายยาอย่างในขณะนี้ และแน่นอนว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ร้านคุณก็อาจจะตายไปแล้วตามร้านโชวห่วยส่วนใหญ่
เพราะฉะนั้น การจะทำอะไรเกี่ยวกับกฎระเบียบที่มีอยู่ ก็ต้องคิดไว้ตลอดเวลาว่า เป็นการทำอะไรบางอย่างกับกำแพงที่ช่วยป้องกันตัวเอง มันอาจจะเป็นการทำให้กำแพงแข็งแกร่งขึ้น หรือบางทีก็อาจจะทำให้เราสะดวกสบายขึ้น ซึ่งโดยปกติ ความสะดวกสบายของเรามันจะมาพร้อมๆกับช่องโหว่ของกำแพงที่พร้อมเปิดรับคู่แข่งรายใหม่ๆด้วย กฎระเบียบเกล่านี้สามารถแตะได้ แต่ต้องคิดหน้าคิดหลังก่อน ไม่ใช่ตั้งท่าจะรื้อกำแพงลงอย่างเดียว
มาถึงตรงนี้ หากคุณเห็นว่า ธุรกิจร้านขายยายังมีอนาคตอยู่ ก็มาถึงเรื่องที่สองว่า อนาคตที่ว่านี้ มันยังมีคุณอยู่ด้วยหรือเปล่า
หากว่าคุณต้องการมีอนาคตร่วมไปกับธุรกิจนี้ สิ่งแรกสุดที่คุณควรต้องทำก็คือ คุณต้องตอกย้ำเจตนาที่จะอยู่ในธุรกิจนี้ต่อไป เจตนาเช่นนี้ มันจะมีผลต่อแนวทางการตัดสินใจของคุณ หากว่าคุณไม่ได้มั่นคงในเจตนานี้ เมื่อใดที่เกิดอุปสรรคขึ้น คุณก็จะหวนกลับมาคิดถึงทางที่จะออกจากธุรกิจนี้อีก แทนที่จะเป็นการทุ่มเทไปกับการหาทางออกจากปัญหา ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ มันจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจ และสมาธิของคุณ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น