คุณเคยวัดผลการประกอบกิจการร้านคุณหรือเปล่าว่าคุณทำได้ดี(หรือแย่)แค่ไหน ควรจะทำต่อหรือเลิกกิจการดี ?
สิ่งที่คุณต้องทำ ก็แค่เอาตัวเลขทางบัญชีที่คุณเก็บไว้มาบวกลบคูณหารกันตามสูตรที่เคยมีคนคิดไว้ มันก็จะบอกอะไรได้หลายๆอย่าง ตั้งแต่การบอกว่าคุณควรจะบริหารร้านขายยาต่อไป หรือเอาเงินไปลงทุนกับคนอื่นที่เขาบริหารได้ดีกว่า ถ้าคุณทำได้ดีแล้ว มันยังสามารถแนะนำได้ด้วยว่า คุณจะสามารถทำได้ดีกว่านี้ ถ้าคุณให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งบางทีดูเหมือนกับธุรกิจของคุณกำลังวิ่งฉิวเหมือนว่าวติดลมบนอยู่ มันก็จะเตือนคุณว่า ถ้าคุณไม่ทำอะไรบางอย่าง คุณอาจจะต้องม้วนเสื่อทั้งๆที่ลูกค้าแน่นร้านก็เป็นได้ อาจดูเหมือนกับเป็นปาฏิหารย์ของตัวเลข แต่มันบอกอะไรได้เยอะจริงๆ ถ้าคุณเก็บข้อมูลได้ละเอียดพอ
พอพูดถึงตัวเลข เจ้าของร้านบางคนอาจทำหน้ามุ่ย แต่อย่าเพิ่งกลัวไปครับ การทำงานกับตัวเลขสมัยนี้ ไม่ได้วุ่นวายเหมือนกับเมื่อก่อนที่ต้องใช้เวลาค่อนคืนหลังปิดร้าน มานั่งคร่ำเคร่งกับการจิ้มเครื่องคิดเลข หรือลงบัญชีด้วยสมุดปากกา
ทุกวันนี้เรามีคอมพิวเตอร์ช่วยทำงานที่มันยุ่งยากให้ง่ายเข้าในการเก็บข้อมูลแทนเรา ความยุ่งยากของเรามีแค่ ต้องฝึกตัวเองให้เป็นนิสัย ในการสั่งให้มันเก็บข้อมูล หรือทำกระบวนการเก็บข้อมูลอยู่เสมอ คอมพิวเตอร์มันทำงานโดยอัตโนมัติในกลุ่มงานจำนวนหนึ่งโดยมีจุดตั้งต้นจากการที่เราสั่งงาน เราจึงต้องไม่ลืมทำงานของเราที่เป็นจุดตั้งต้นการสั่งงานให้กับคอมพิวเตอร์ เพราะถ้าเราไม่สั่ง คอมพิวเตอร์มันก็ไม่ทำ ในระบบคำสั่งของคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดมาก จุดตั้งต้นการสั่งงานที่เป็นจำเป็นต้องอาศัยคุณเป็นผู้สั่งก็จะยิ่งน้อยลง
มาถึงบรรทัดนี้ หวังว่าคุณคงจะกลัวตัวเลขน้อยลงแล้วนะครับ ผมจะได้พาคุณไปขุดคุ้ยคำพยากรณ์ที่ถูกซ่อนไว้ในบัญชีของคุณต่อไป
ในการขุดคุ้ยหาความจริงเกี่ยวกับธุรกิจจากบัญชีของคุณนั้น เราจะนำชุดตัวเลขในบัญชีของคุณมาเข้าสูตรที่มีคนคิดค้นไว้ สูตรที่เราใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีของคุณนั้น เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “อัตรส่วนทางการเงิน” มาจาก Financial Ratio หรือเรียกสั้นๆว่า “เรโช” (Ratio)
ขอเริ่มที่อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพของธุรกิจของคุณก่อน เพื่อที่คุณจะได้รู้ตัวเองว่าควรจะ “อยู่เฉยๆจะดีกว่า” หรือเปล่า ตัวแรกขอแนะนำให้รู้จักกับ “ผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม” หรือ Return on Asset เรียกโดยย่อว่า ROA คำนวณโดยเอากำไรหลังหักภาษีและดอกเบี้ยจ่าย(ถ้ามี) เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยสินทรัพย์รวม
สินทรัพย์รวมก็คือ มูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ทั้งหมดของคุณตามบัญชี เช่นอาคาร ที่ดิน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ ทุกอย่างที่ใช้ในกิจการของคุณ ไม่ว่าจะใช้เงินสดซื้อ ซื้อเชื่อ หรือขอยืมมา เอามารวมคำนวณทั้งหมด เพื่อที่จะดูว่า คุณใช้ของเหล่านี้ได้คุ้มค่าแค่ไหน อัตราส่วนนี้จะบอกว่า สินทรัพย์แต่ละบาทสร้างกำไรให้กับคุณเท่าไหร่ ตัวเลขยิ่งมากยิ่งดี
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) = กำไรสุทธิ (Net Profit) / สินทรัพย์รวม (Total Assets)
ถ้าคุณถนัดกับการมองอะไรเป็นเปอร์เซนต์ ก็เอาค่าที่ได้คูณด้วย 100 ก็จะมีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์
คุณอาจจะเอาค่า ROA ที่ได้จากร้านของคุณเทียบกับร้านอื่นก็ได้ (บางธุรกิจอาจมีค่ากลางในการอ้างอิง) เพื่อดูว่า คุณมีความสามารถในการสร้างกำไรจากสินทรัพย์ได้ดีเพียงใด ถ้า ROA ของคุณสู้คนอื่นไม่ได้ ก็เป็นการบอกคุณว่า คุณยังใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ได้ไม่ดี ซึ่งก็จะค้นต่อไปในอัตราส่วนตัวอื่นว่า คุณใช้สินทรัพย์ตัวไหนที่ได้ประโยชน์น้อย เป็นแนวทางให้คุณปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านคุณ
หรืออาจจะใช้เทียบระหว่างผลการดำเนินงานของร้านคุณปีที่แล้วกับปีนี้เพื่อดูว่า ร้านคุณทำได้ดีขึ้น หรือแย่ลง ถ้าดีขึ้นคุณก็จะได้ดีใจ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะขุดค้นต่อไปว่า คุณทำได้ดีจากอะไร ถ้า ROA ของปีนี้กลับแย่ลงกว่าปีที่แล้ว คุณก็ยิ่งต้องมาวิเคราะห์ต่อไปว่า ทำไมถึงสู้ปีที่แล้วไม่ได้ คุณจะได้แก้ปัญหาเพื่อประสิทธิภาพของธุรกิจในปีต่อๆไป
การค้นหาปัจจัยเบื้องหลังความมีประสิทธิภาพ หรือไร้ประสิทธิภาพของการประกอบการร้านขายยาของคุณ จะมองได้ชัดเจนขึ้นด้วยการยักย้ายถ่ายเทตัวแปรที่จะมาคำนวณหา ROA (แต่คุณไม่ต้องคิดยักย้ายเองให้วุ่นวาย เพราะมีคนช่างคิดได้ทำแล้ว) โดยเอาอัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดขายรวม (ก็คือเอากำไรหลังจากหักภาษีและดอกเบี้ยจ่ายเป็นตัวตั้ง หารด้วยยอดขายรวม อัตราส่วนตัวนี้ จะแสดงถึงอัตรากำไรของทุกบาทที่คุณขายไป ร้านที่เน้นการขายของตัดราคา อัตราส่วนตัวนี้จะต่ำ แสดงให้เห็นว่า แต่ละบาทที่ขายได้นั้นมีกำไรนิดเดียว) เขียนเป็นสูตรได้ว่า
อัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดขายรวม = กำไรหลังจากหักภาษีและดอกเบี้ยจ่าย / ยอดขายรวม
คูณด้วยอัตราส่วนยอดขายรวมต่อสินทรัพย์ (ก็คือ เอายอดขายรวมเป็นตัวตั้ง หารด้วยมูลค่าสินทรัพย์ของร้านคุณ อัตราส่วนตัวนี้ บอกว่าคุณเอาสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี มาหมุนเวียนสร้างเป็นยอดขายได้กี่รอบ ยิ่งหมุนได้จำนวนมาก รอบยิ่งแสดงว่าร้านคุณขายเก่ง) เขียนเป็นสูตรได้ว่า
อัตราส่วนยอดขายรวมต่อสินทรัพย์ = ยอดขายรวม / สินทรัพย์
เราจะได้สูตรการหา ROA อีกแบบหนึ่งได้ดังนี้
ROA = อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขายรวม x อัตราส่วนยอดขายต่อสินทรัพย์
การหาค่า ROA โดยวิธีนี้ จะได้ค่าเหมือนกับวิธีแรกเป๊ะ แต่วิธีนี้ เราจะนำมาแปลความเพื่อหาปัจจัยความสำเร็จ หรือล้มเหลวของร้านเราได้ง่ายกว่าวิธีแรก (แม้ว่าจะต้องเอาตัวเลขมาทำอะไรกันหลายทอดกว่าจะได้มาก็ตาม แต่มันก็คุ้มนะ)
จากสูตรนี้ เราจะเห็นได้ว่า ROA ของเราขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบาทที่เราขายไป คูณกับจำนวนรอบของการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นยอดขาย ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ของกิจการของเรา เราสามารถทำได้สองทางคือ เพิ่มอัตราส่วนกำไรในแต่ละบาทที่เราขายไป หรือไม่ก็พยายามใช้สินทรัพย์ของร้านคุณสร้างยอดขายให้ได้จำนวนรอบที่มากขึ้น
การดู ROA วิธีนี้ ทำให้คุณเห็นถึงที่มาของความแตกต่างของ ROA ของร้านคุณกับร้านอื่นได้ว่ามาจากอะไร หากคุณจะปรับปรุงประสิทธิภาพของการใช้สินทรัพย์ คุณก็จะเริ่มต้นได้ถูกที่
คุณสามารถเอาอัตราส่วนที่เป็นที่มาของ ROA สูตรใหม่นี้ทั้งสองตัวในการเปรียบเทียบกับร้านของคนอื่นได้ด้วย เช่นเปรียบเทียบอัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดขายรวม กับร้านอื่น เพื่อดูว่าร้านอื่น เขาสร้างกำไรจากเงินแต่ละบาทที่ขายไปได้เท่าไหร่ มากหรือน้อยกว่าคุณ ถ้าของคุณน้อยกว่า ก็แสดงว่า การตั้งราคาสินค้าของคุณต่ำกว่าร้านคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น ร้านคุณควรจะสร้างจำนวนรอบของการขายสินค้าให้มากขึ้น เพราะถ้าคุณขายของถูก แต่ไม่สามารถขายได้ดีขึ้น คุณก็ควรจะพิจารณาตัวดูแล้วล่ะว่า ทำไมลูกค้าถึงไม่เข้าร้านคุณ
หรือเปรียบเทียบอัตราส่วนยอดขายรวมต่อสินทรัพย์ กับร้านอื่น มันจะบอกคุณว่า ร้านคุณมีความสามารถในการขายเพียงใด เมื่อเทียบสินทรัพย์กันบาทต่อบาท การเทียบกันบาทต่อบาทนี้ ทำให้สามารถเอาผลการดำเนินการของร้านเล็กเทียบกับร้านใหญ่ได้ เพราะเป็นการย่ออัตราส่วนลงมาให้เท่ากัน
ทีนี้คุณก็จะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นบ้างแล้วว่า คุณจะเริ่มปรับปรุงที่จุดไหน แต่นี่ยังเป็นแค่เบื้องต้น เพราะตัวเลขพวกนี้ มันสามารถพาคุณเจาะลึกลงไปได้อีก แล้วเราจะมาดูกันต่อในคราวหน้าครับ
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น