วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

Pseudoephedrine : ยุทธศาสตร์น่าจะต้องปรับใหญ่

Pseudoephedrine

มีข่าวออกมาว่า ยาทุกตำรับที่มี Pseudoephedrine เป็นส่วนผสม จะกลายเป็นยาเสพติดประเภทสอง เพราะมีแนวทางการวินิจฉัยจาก คณะกรรมการกฤษฎีกาออกมาว่า เนื่องจาก Pseudoephedrine ถูกจัดเป็นยาเสพติดประเภทสอง ดังนั้น อะไรก็ตามที่มี Pseudoephedrine เป็นส่วนผสม ต้องถือเป็นยาเสพติดประเภทสอง ซึ่งเป็นการกลับแนวทางปฏิบัติเดิมของ อย แต่เดิมที่ถือว่า เมื่อไม่ใช่ Pseudoephedrine เดี่ยวๆ มีการผสมแปรรูปไปเป็นอย่างอื่นแล้ว ไม่สามารถแยก Pseudoephedrine ออกมาโดยง่าย ก็ทำให้ยาสูตรผสมเหล่านี้ อาจไม่เป็นยาเสพติดประเภทสองต่อไป

เหตุการณ์ที่มีการนำยาไปใช้เป็นสารเสพติด เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ภาครัฐก็มีมาตรการควบคุม เช่น การเปลี่ยนสถานะของยาเหล่านั้น ให้กลายเป็นยาควบคุมพิศษ ห้ามจำหน่ายโดยทั่วไป ซึ่งก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการใช้ยากลุ่มนั้นในทางที่ผิดได้ และกำลังพิจารณามาตรการทางกฎหมายกี่ยวกับยา เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ลุกลามออกไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ยังลามไปสู่กลุ่มยาอื่นๆ จนทำให้ยาหลายๆตัวถูกจับตามองว่าจะเดินตามรอยเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมา เราใช้ยุทธศ่าสตร์ "ไล่" เพื่อติดตามแก้ปัญหาที่กลุ่มผู้ใช้ยาในทางที่ผิด ก่อขึ้น และก็เป็นการไล่ ที่ไม่สามารถเข้าใกล้กับต้นตอของปัญหา เพราะกลุ่มผู้ใช้ยาในทางที่ผิด มีแรงจูงใจสูงที่จะพลิกแพลงหลบหลีกมาตรการๆของภาครัฐที่ติดตาม"ไล่"แก้ปัญหา ในขณะที่ภาครัฐเป็นหน่วยงานใหญ่ ไม่คล่องตัว

การไล่ตามแก้ปัญหานี้ มีแต่จะส่งผลในการทำให้ปัญหาลามไปสู่กลุ่มยาอื่น หรือสิ่งอื่นตามแต่กลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะจินตนาการออกมาได้ ขนาดใช้ยากันยุง หรือหลอดไฟมาบอผสมกับสารเสพติด ยังมีการทำเลย

บางทีเราน่าจะลองคิดถึงยุทธศาสตร์อื่นบ้าง ที่ใช้จุดเด่นของภาครัฐที่มีขนาดใหญ่ มีพลังขับเคลื่อนสูง เครือข่ายมาก ให้เป็นประโยชน์ เราอาจใช้ยุทธศาสตร์ "ล้อม" คือ ตรึงให้สถานการณ์ไม่ลุกลามไปที่อื่น ยอมจำกัดวงของการใช้สิ่งเสพติด ณ จุดใดจุดหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ทำให้การเสพติดคลี่คลายลง ทำลายแรงจูงใจของการขยายวงของผู้ใช้สิ่งเสพติด เพื่อไม่ให้มีผู้เสพติดรายใหม่เข้าสู่วงจร

ตอนนี้ดูเหมือนกับว่า ภาครัฐยังทำงานบนจุดด้อยของตัวเองอยู่

หากยังไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ เปลี่ยนวิธีคิด สักวันหนึ่ง หากว่ากลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีจินตนาการบรรเจิด ถึงขนาดที่สามารถสกัดสารเสพติดจากข้าว ถึงวันนั้น ข้าวที่เรากินกันตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก็คงจะเข้าถึงยาก คงจะถูกขึ้นทะเบียนเป็นยาควบคุมพิเศษ และต้องขออนุญาตก่อนกิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น